Home

Slider

Inequality Update

ไขปริศนาความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินของประเทศไทย

GINI coefficient in asset, 2017 63.1%*GINI coefficient in income, 2017 45.3%*GINI coefficient in expense, 2017 36.4%*Asset share held by highest 10%, 2017 47.15%*Poverty headcount ratio at national poverty lines, 2016 8.6%**Income share held by highest 10%, 2015 28.4%**Income share held by lowest 10%, 2015 3.20%** * ดวงมณี เลาวกุล. (2561). ไขปริศนาความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินของประเทศไทย. ใน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ความรู้และความไม่รู้ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: มายาคติและทางออก**World […]

News & Events

นโยบายสวัสดิการยุคหลังโควิด

จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด รัฐบาล จำเป็นต้องสร้างมาตรการป้องกันการระบาดของโรคไวรัส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมาตรการเหล่านั้นกลับทำให้เกิดการชะงักของเศรษฐกิจ คนจำนวนมากต้องประสบกับวิกฤตขาดรายได้ วิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นช่องว่างของระบบสวัสดิการในสังคมไทย ถึงแม้ภาครัฐจะมีความพยายามในการชดเชยปัญหาการขาดรายได้ในระยะสั้น แต่นโยบายการชดเชยเหล่านั้นก็ไม่ได้กระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับผู้ที่เดือดร้อนได้อย่างทั่วถึง ในงานสัมมนาครั้งนี้จึงเชิญชวนมาพูดคุยถึงประเด็นระบบสวัสดิการในไทย ทั้งในเรื่อง ปัญหาช่องโหว่ของนโยบายสวัสดิการชดเชยรายได้ช่วงโควิด แนวทางการพัฒนานโยบายสวัสดิการของรัฐไทย ข้อถกเถียงเรื่องการใช้นโยบายรายได้ขั้นต่ำพื้นฐาน(Universal Basic Income) และประเด็นทางการคลังในการสร้างระบบสวัสดิการ ช่องโหว่ของนโยบายสวัสดิการชดเชยรายได้ช่วงโควิด โดย รศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา จากการที่อาจารย์บุญเลิศได้อยู่ในทีมทำงานวิจัย “คนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง” และ โครงการวิจัย “ผลกระทบของโควิด-19 ต่อชีวิตของกลุ่มคนไร้บ้านและคนจนเมือง” จึงอยากนำเนื้อหาในงานวิจัยเหล่านี้มาเปิดเผยให้เห็นนัยยะของระบบสวัสดิการคนจน จากการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของคนจนเมืองเหล่านี้พบว่าส่วนมากเป็นกลุ่มคนที่ทำงานนอกระบบ ซึ่งได้รับสวัสดิการไม่ทั่วถึง โดยมีถึง 31% ของกลุ่มศึกษาที่ไม่มีระบบสวัสดิการอะไรเลยรองรับ เมื่อเกิดวิกฤตคนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 60% ของคนกลุ่มนี้รายได้หายไปเกือบหมดในช่วงวิกฤต ในขณะที่อีก 31% รายได้ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมาประมวลเป็นรายได้เฉลี่ยแล้ว ก่อนวิกฤตคนกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 13,397 บาทต่อเดือน เมื่อเกิดวิกฤตรายได้ของคนกลุ่มนี้เหลือเพียง 3,906 บาทต่อเดือน รายได้ลดลงประมาณ 70.89% การเกิดความโกลาหลที่หน้ากระทรวงการคลังจากผู้ที่ไม่ได้รับการชดเชยรายได้สะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐเองไม่ได้รู้จักคนจนมากนัก ความพยายามในการสกรีนผู้ที่มีสิทธิที่จะได้รับการชดเชยอย่างเข้มข้นส่งผลให้มีผู้ตกสำรวจเป็นจำนวนมาก โดยช่องเดือนเมษายนมีผู้ลงทะเบียนในการรับเงินสำเร็จเพียง 50% และได้รับเงินชดเชยเพียง 12% ภายหลังที่มีแรงกดดันมากขึ้นจึงลดการพิสูจน์ลงส่งผลให้มีผู้ได้รับเงินชดเชยสูงถึง 85% […]

หลากชีวิต หลายผลกระทบ : พลังผู้สูงวัย

ในงานวิจัยของศ.ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธได้นำเสนอเรื่องดัชนีพฤฒิพลัง หรือดัชนีพลังผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่าของผู้สูงอายุ โดยพิจารณาตัวชี้วัดสี่ด้านคือด้านสุขภาพกายภาพ การมีส่วนร่วมในสังคม ความมั่นคงในการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เอื้อต่อการสูงอายุอย่างมีคุณภาพ เช่น การอ่านออกเขียนได้ การครอบครองอุปกรณ์ ICT ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นหลักที่นำมาพูดคุยกัน สามอันแรกเป็นมิติที่โดดเด่นและอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ผลการศึกษาค้นพบว่าพลังของผู้สูงอายุลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีพ.ศ. 2557 และ 2560 เมื่อนำความเหลื่อมล้ำในด้านพลังผู้สูงอายุเทียบกับความเหลื่อมล้ำด้านอื่น ๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้จะมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำในมิติของพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคพบว่าแต่ละภูมิภาคมีความเหลื่อมล้ำต่างกัน ความเหลื่อมล้ำทางเพศระหว่างชาย หญิงพบว่าเพศชายจะมีพลังผู้สูงอายุมากกว่า ความเหลื่อมล้ำในมิติของพื้นที่พบว่าพื้นที่นอกเขตเทศบาลจะมีพลังผู้สูงอายุมากกว่าในเขตเทศบาล ส่วนมิติของการศึกษาผู้ที่สำเร็จการศึกษาอนุปริญญาขึ้นไปจะมีพลังผู้สูงอายุมากกว่าผู้สูงอายุที่สำเร็จการศึกษาน้อยกว่า 1.4 เท่า ในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจส่วนตัวจะมีดัชนีสูงอายุสูงกว่าลูกจ้างในองค์กรเอกชนหรือราชการ และกลุ่มที่ทำงานจะมีพลังผู้สูงอายุมากกว่าคนที่อาศัยเงินบำนาญ เป็นต้น สำหรับสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านดัชนีผู้สูงอายุเมื่อเกิดโควิด 19 นั้น อาจพิจารณาได้ในสองประเด็นคือ 1) เรื่องความเพียงพอในเงินออมที่เก็บสะสมมา เชื่อมโยงไปเรื่องความมั่นคงทางการเงิน ณ ปัจจุบัน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีเงินออมไม่พอ แสดงให้เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องทำงาน ก่อนที่จะเกิดโควิดสภาพโครงข่ายคุ้มครองทางสังคมเปราะบางมีความอ่อนไหวอยู่แล้ว เมื่อเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ก็มีโอกาสได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีระบบสวัสดิการหรือโครงข่ายทางสังคมที่เข้มแข็งรองรับ โดยโครงสร้างภาพรวมผู้สูงอายุที่มีรายได้มาจากบุตรมี 36-37%  และผู้สูงอายุที่ได้รายได้มาจากการทำงานมี 34% ดังนั้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ และหยุดการจ้างงานจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้สูงอายุ สำหรับวิธีการรับมือกับปัญหาเงินออมหรือเบี้ยผู้สูงอายุไม่เพียงพอนั้นในระยะยาวอาจต้องเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชนก่อนที่จะเป็นผู้สูงอายุ […]

หลากชีวิต หลายผลกระทบ : ชีวิตคนไร้บ้านและเด็กเปราะบาง

คนไร้บ้านและเด็กเปราะบาง เริ่มต้นนั้นจะเริ่มจากลักษณะประเด็นพื้นฐานของกลุ่มคนไร้บ้านและคนเปราะบาง สำหรับคนไร้บ้านคือกลุ่มคนที่เผชิญภาวะทางปัญหา ลักษณะของการไร้บ้านคือผลลัพธ์ที่เกิดจากปัญหาหลากหลายปัญหาทับถม เช่น ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางสังคม ปัญหาครอบครัว เป็นต้น สภาวการณ์ไร้บ้านจึงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของสภาวะปัญหาอันหลากหลายที่คนๆหนึ่งต้องประสบ ในขณะที่เด็กเปราะบางหรือเด็กด้อยโอกาสคือกลุ่มที่มีโอกาสที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ง่าย ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาต่างๆหลากมิติที่ทับถมเช่นกัน ในเบื้องต้นของงานสัมมนาครั้งนี้คือจะมาสำรวจผลกระทบของโควิดที่มีต่อกลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งนี้จากการสำรวจจำนวนคนไร้บ้านเดิมที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสถานพักพิงของภาครัฐมีประมาณ 2700 คน ซึ่งหากรวมกับคนไร้บ้านที่อยู่ในสถานพักพิงภาครัฐจะมีประมาณ 7-8 พันคน โดยจากการเก็บสถิติอายุขัยเฉลี่ยของคนไร้บ้านในสังคมไทยจะอยู่ที่ประมาณ 60 ปีซึ่งต่ำกว่าคนในสังคมปกติที่มีอายุขัยเฉลี่ยที่ประมาณ 75 ปี ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่คนไร้บ้านเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคติดต่อมากกว่าคนทั่วไปในสังคม ผลกระทบจากโควิด การเกิดขึ้นของโรคระบาดโควิด 19 นั้นเป็นปรากฎการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยและมีผลกระทบรุนแรง รัฐบาลในประเทศต่างๆจึงไม่ได้มีการเตรียมการรับมือที่เพียบพร้อมมากนัก การเกิดขึ้นของโควิดส่งผลให้มีจำนวนคนไร้บ้านหน้าใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก เนื่องจากคนจำนวนหนึ่งตกงานและสูญเสียที่อยู่รวมถึงไม่สามารถกลับบ้านได้ ซึ่งคนไร้บ้านหน้าใหม่นี้ไม่ได้มีทักษะในการเอาตัวรอดในปรากฎการณ์ไร้บ้านได้ดีเท่ากับคนไร้บ้านที่เป็นอยู่มานาน(มีความเปราะบางที่หนักกว่า) ถึงแม้ว่ากระบวนการบริจาคและการช่วยเหลือจากคนในสังคมจะส่งผลให้คนไร้บ้านจำนวนมากสามารถเข้าถึงอาหารได้ แต่คนไร้บ้านที่เป็นผู้สูงอายุหรืออยู่อย่างโดดเดี่ยวแยกตัวจากกลุ่มมีโอกาสสูงที่จะเข้าไม่ถึงอาหารเหล่านั้น มีการคำนวณคาดการณ์สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของคนไร้บ้านเป็นหลายสถานการณ์ ตั้งแต่หากภาวะเศรษฐกิจหดตัวลงในระดับเลวร้ายน้อยที่สุดประมาณ 3% คนไร้บ้านจะเพิ่มขึ้นประมาณ 22.03% หากเลวร้ายที่สุดเศรษฐกิจหดตัวประมาณ 5.6% จะมีคนไร้บ้านเพิ่มขึ้นประมาณ 30.14% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขการหดตัวทางเศรษฐกิจจากการประเมิณโดยสำนักเศรษฐกิจในที่ต่างๆมีการประเมินความร้ายแรงที่สูงกว่านั้น(เศรษฐกิจหดตัวอย่างน้อย 7%) การหดตัวทางเศรษฐกิจเช่นนี้จะทำให้สถานการณ์ของคนไร้บ้านจะกลับไปสู่สภาวะปกติแบบก่อนหน้านั้นได้ยาก รวมถึงแนวโน้มของการเติบโตของการใช้ automation เข้ามาใช้งานในภาคธุรกิจทำให้แนวโน้มการจ้างงานของแรงงานมีลักษณะที่ยืดหยุ่นระยะสั้นมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีคนว่างงานจำนวนมากขึ้นซึ่งสร้างความเปราะบางต่อความต้านทานต่อปัญหาทางสังคมต่างๆโดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่มี social safety net คนเหล่านี้มีโอกาสมากที่จะกลายเป็นกลุ่มคนไร้บ้านหน้าใหม่ […]

Information

Slider

Policy Brief


CRISP News

Related agencies